สพฐ.สั่งรีเช็กข้อมูลจำนวนนักเรียน!! ย้ำย้ายผอ.รร.ให้ยึดประสบการณ์ ไม่ใช่จำนวนนักเรียน ณ ปัจจุบัน
ฝากข่าว ร้องเรียน ร้องทุกข์ ประชาสัมพันธ์ข่าว ติดต่อ ข่าวการศึกษา ครูประถม.คอม
ชุมชนไลน์กลุ่มพูดคุยแลกเปลี่ยน ความรู้ วpa ข่าวการศึกษา ปรึกษาข้อปัญหา อาชีพครู
ชุมชนครูประถมแห่งประเทศไทย
“ธีระเกียรติ” กำชับ สพฐ. ถือเป็นนโยบายปราบ “เด็กผี” ลั่นต้องไม่มีอีก ขณะที่ “บุญรักษ์” สั่ง สพท. รีเช็กข้อมูลย้าย ผอ.ร.ร. ช่วงที่ผ่านมา ระบุ ร.ร. กรอกข้อมูลเด็กในระบบ DMC ครบถ้วนแล้ว ขอเวลา 1-2 วัน เคลียร์ข้อมูลรู้ชัด “เด็กตัวจริง-เด็กผี” งอกมาเท่าไหร่
จากกรณีมีการร้องเรียนว่า โรงเรียนสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีการรายงานตัวเลข นักเรียนไม่มีตัวตน หรือ เด็กผี และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้สุ่มตรวจสอบโรงเรียนในหลายจังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ ยโสธร อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด ซึ่งพบข้อมูลด้วยว่าตัวเลขเด็กผีที่เพิ่มขึ้นเพื่ออัปเกรดขนาดโรงเรียนให้ใหญ่ขึ้นเพื่อหวังผลการโยกย้าย ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ท. เขต 3 เข้าตรวจสอบโรงเรียน##### จ.อุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพม.) เขต 29 ตรวจสอบข้อมูลและตรวจนับนักเรียน พบว่า มีนักเรียน 460 คน และพบนักเรียนไม่มีตัวตนในระบบ DMC เกือบ 60 คน ที่ต่างจากข้อมูลที่รายงานไว้ในปี 2559 และ 2560 โดยนำชื่อนักเรียนชั้นประถมศึกษาแห่งหนึ่งมากรอกใบสมัครและนำเลข 13 หลักมากรอกเข้าระบบ DMC โดยตัวนักเรียนยังอยู่ที่โรงเรียนเดิม และตัวเด็กมีบ้านพักห่างจากโรงเรียนดังกล่าวถึง 60-80 กิโลเมตร จึงมีการตั้งข้อสังเกตอาจมีเจตนารายงานข้อทูลที่เป็นเท็จเพื่ออัพเกรดขนาดโรงเรียนจากขนาดเล็กเป็นโรงเรียนขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้อำนวยการโรงเรียน#####ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดอุบลราชธานี ให้ไปดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน#### ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่
วันนี้ (11 ธ.ค.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้ทราบเรื่องดังกล่าว และได้กำชับไปยัง ดร.บุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) แล้วว่าเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายต้องปราบปรามอย่างจริงจังให้ลงไปตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทำได้ เพราะ สพฐ. มีข้อมูลอยู่แล้วโรงเรียนใดที่เพิ่งมีการโยกย้ายผู้บริหารและต้องการยกระดับโรงเรียน ก็ให้ไปสุ่มตรวจสอบโรงเรียนเหล่านี้ พร้อมกำชับให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ท. ในการตรวจสอบอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ หากใครมีข้อมูลการข่าวใดก็ขอให้ส่งเข้ามาที่ ศธ.ได้เลย
“คนที่ทำบัญชีเด็กผีเพื่อต้องการยกระดับโรงเรียน เราก็แทบจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าโรงเรียนไหนเพิ่งย้ายเร็วๆนี้ และต้องการยกระดับก็ให้ สพฐ. ลงไปสุ่มตรวจสอบก่อนเลย ซึ่ง สพฐ. ก็จะทำตามแนวทางนี้ก่อน ซึ่งเรื่องนี้จะเหมือนกรณีทุจริตโครงการอาหารกลางวัน แต่จะมากกว่าหรือไม่ผมไม่ทราบ แต่ถ้าใครทุจริตและจับได้ไม่ต้องสอบนานเพราะถ้าข้อมูลชัดเจนว่าทุจริตก็มีโทษทางวินัย ไม่ว่าเหตุจะมาจากไหนก็โดนทั้งนั้น ซึ่งปัญหาเด็กผีจะต้องไม่มีอีกต่อไปในประเทศ ตอนนี้ผมขอจับผีก่อน แต่คงต้องใช้เวลาปราบสักระยะ ตอนนี้ผมก็ขอจับผีก่อนและก็ปรามไว้ก่อน และเชื่อว่า ไม่น่าจะมีใครกล้าทำอีก” นพ.ธีระเกียรติ กล่าวและว่า ส่วนที่จะต้องมีการพิจารณาแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สพฐ.หรือ ว24 หรือไม่นั้น ตรงนี้เป็นเรื่องเชิงระบบ แต่การกำหนดเงื่อนไขมีที่มาที่ไปการจะแก้หรือไม่ ต้องไม่ใช่เพราะประเด็นเรื่องเด็กผี สิ่งที่สำคัญที่ต้องแก้ไข คือ สมองของคนที่คิดจะโกง แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็จับไปอยู่ที่ที่สมควรจะอยู่
ด้าน ดร.บุญรักษ์ กล่าวว่า วันนี้ตนจะทำหนังสือสั่งการไปยัง ผอ.สพท.ทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบข้อมูลโรงเรียนที่มีการย้ายผู้บริหารในรอบปกติและรอบเพิ่มเติม ทั้งที่มีการย้ายในโรงเรียนขนาดเดียวกันและการย้ายไปในโรงเรียนที่ขนาดใหญ่กว่า อยากชี้แจงให้เข้าใจว่าจุดยืนของ รมว.ศึกษาธิการ และ สพฐ.ในดำเนินการเรื่องนี้จะเอาผิดแน่นอนถ้าตรวจสอบพบว่ากระทำผิดจริง ทั้งความผิดทางวินัย การให้ข้อมูลทางราชการที่เป็นเท็จมีโทษทางอาญา และถ้าพบมีการนำงบประมาณไปใช้ก็มีความผิดทางแพ่ง ซึ่งการพิจารณาความผิดที่จะเกิดขึ้นจะยึดจากข้อมูลนักเรียน ณ วันที่ 10 มิ.ย. ที่ใช้อ้างอิงในการย้าย ว่า ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ และที่ผ่านมา รมว.ศึกษาธิการ พูดชัดเจนว่ากรณีมีการกระทำผิดในการให้ข้อมูลเด็กผี ถือว่ามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่ไม่ได้มีการระบุว่าเป็นโรงเรียนใด หรือ ผอ. โรงเรียนคนใด
“ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสตรวจสอบทั้งระบบว่าข้อมูลในการขอย้ายว่าตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ณ วันที่ 10 มิ.ย.หรือไม่ ซึ่งสิทธิ์ที่แท้จริงของ ผอ.โรงเรียนในการขอย้ายไปโรงเรียนขนาดเดียวกัน หรือย้ายข้ามขนาดโรงเรียนนั้น ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เคยมีหนังสือตอบกลับมายัง สพฐ. แล้วว่า กรณี ผอ.โรงเรียน เคยปฏิบัติงานที่โรงเรียนขนาดใดก็ให้ถือว่ามีประสบการณ์ในโรงเรียนขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้า ผอ.โรงเรียนเคยบริหารโรงเรียนที่มีนักเรียนมากกว่า 500 คนโรงเรียนขนาดกลาง ก็สามารถขอย้ายไปในโรงเรียนขนาดกลาง หรือขอย้ายไปในโรงเรียนขนาดใหญ่ได้ เพราะยึดประสบการณ์การบริหารไม่ใช่ยึดจำนวนเด็ก ณ ปัจจุบัน” ดร.บุญรักษ์ กล่าว
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับความคืบหน้ากรณีที่ให้โรงเรียนทั่วประเทศดำเนินการตรวจนับจำนวนนักเรียนและให้รายงานข้อมูลในระบบฐานข้อมูลนักเรียน หรือ DMC ภายในวันที่ 10 ธ.ค.นั้น โรงเรียนได้ส่งข้อมูลครบถ้วนและ สพฐ.ได้ปิดระบบในการให้โรงเรียนเข้ากรอกเรียบร้อยแล้ว จากนี้ สพท.ทั่วประเทศจะต้องทำการตรวจสอบข้อมูลของโรงเรียนในพื้นที่อีกครั้งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 วัน อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการครั้ง สพฐ. ได้ข้อมูล 2 ส่วน คือ 1. ข้อมูลนักเรียนที่แท้จริงของโรงเรียนเพื่อจัดสรรงบประมาณภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ลงไป และ 2. ข้อมูลนักเรียนที่ไม่มีตัวตน ที่จะแบ่งเป็น ไม่มีตัวตนแต่เป็นไปตามระเบียบระหว่างการติดตามหรือเพื่อจำหน่ายออก และไม่มีตัวตนจริงๆ ที่ตรงนี้เป็นโจทย์ที่ สพฐ. ต้องควานหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นและผู้ที่ทำต้องรับผิดชอบในส่วนนี้
ที่มา :: https://www.kruupdate.com/id-4917.html
Comments are closed.