หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)
-
กลุ่มไลน์ข่าวการศึกษา
กลุ่มไลน์ข่าวการศึกษา
หลุยส์ ปาสเตอร์ เกิดวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1822 ที่เมืองโดล (Dole) มลรัฐจูรา (Jura) ประเทศฝรั่งเศส (France) บิดาของปาสเตอร์เป็นช่างฟอกหนังชื่อ ชอง โจเซฟ ปาสเตอร์ เคยเป็นทหาร ผ่านศึกสมัยจักรพรรดินโปเลียนฐานะของครอบครัวไม่ดีนัก เขาได้รับการศึกษาครั้งแรกที่ จังหวัดอาร์บัวส์ มีความถนัดทางด้านวิทยาศาสตร์นอกจากนี้เขายังมีความสามารถพิเศษในการวาดรูปอีกด้วย ครอบครัวของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอาร์บัวส์ ต่อมาเขาก็ได้ไปเรียนที่กรุงปารีส แต่ก็ป่วยด้วยโรคคิดถึงบ้าน ก่อนจะกลับไปเรียนที่ปารีสอีกครั้งในภายหลัง ได้รับการศึกษาที่ มหาวิทยาลัยเบซากองและมหาวิทยาลัยปารีส ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่สตราบวร์ก ลิลล์ และมหาวิทยาลัยปารีส และได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์สาขาเคมีที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ในปี พ.ศ. 2410 หลุยส์ ปาสเตอร์ เสียชีวิต วันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1895 Marnes-la-Coquette, ประเทศฝรั่งเศส(France) ในอายุ 72 ปี
การทดลองที่มีชื่อเสียงของปาสเตอร์เมื่อปี พ.ศ. 2424 ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแกะและวัวที่ได้รับการฉีด “วัคซีน” ที่ทำจากเชื้อจุลินทรีย์บาซิลไล ซึ่งเป็นสมมติฐานของโรคแอนแทรคที่ถูกทำให้อ่อนจางลงของเขา สามารถต่อสู้กับโรคระบาดที่มีอันตรายของสัตว์คือโรคแอนแทรคดังกล่าวได้โดยไม่ติดโรค ในปี พ.ศ. 2431 สถาบันปาสเตอร์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในกรุงปารีสเพื่อต่อสู้กับโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งปาสเตอร์ได้ทำงานประจำในสถาบันนี้จนถึงแก่กรรม ปัจจุบัน สถาบันปาสเตอร์ยังคงเป็นสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกที่ยังคงทำงานวิจัยงานด้านจุลชีววิทยาอยู่ รวมทั้งการค้นพบเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์
หลุยส์ ปาสเตอร์ เป็นบุคคลสำคัญของโลกผู้ช่วยพัฒนาในด้าน การแพทย์และเคมี โดยเฉพาะผลงานที่สร้างชื่อให้แก่เขาทั้ง 3 อย่างทำให้ วงการแพทย์และชีววิทยานั้นก้าวหน้าไปได้อย่างมาก
- วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า : เป็นโรคที่ทำให้คนตายไปพอสมควรและจากการพบวัคซีนนี้ทำให้ค้นพบวัคซียรักษาโรค อีกมากมายเช่น อหิวาตกโรค วัณโรค และโรคคอตีบ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์เป็นอย่างมาก
2.จุลินทรีย์เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย
- วิธีการพาสเจอร์ไรซ์ คือกระบวนการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิดเพื่อป้องกันการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น สำหรับนมที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อนี้จะมีคุณค่าสารอาหารเกือบเท่ากับน้ำนมก่อนผ่านการฆ่าเชื้อ
หลุยส์ ปาสเตอร์ ค้นพบว่าจุลินทรีย์ส่งผลเสียมากมายทำให้เขาทำการค้นคว้าเกี่ยวกับจุลินทรีย์อย่างต่อเนื่อง และต้องการจะหาพวกมันให้หมด จนสามารถค้นพบวิธีการทำพาสเจอร์ไรซ์โดยการผ่านความร้อน เพื่อทำลายจุลินทรีย์ก่อโรค (pathogen) รวมทั้งจุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ทำให้อาหารเสียโดยใช้ความร้อนในอุณหภูมิระหว่าง 60 – 80 องศาเซลเซียส ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ต้องเก็บอาหารไว้ในที่เย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 7.2องศาเซลเซียส
หลุยส์ ปาสเตอร์ ค้นพบวิธีรักษาโรคพิษสุนัขบ้าจากการเพาะเชื้อวัคซีน และนำไปทดลองกับสัตว์ปรากฏว่าได้ผลเป็นอย่างดี ต่อมามีเด็กโดนสุนัขกัด พ่อกับแม่ของเด็กเห้นว่าไม่น่าจะรอดจึงลองเอามาให้ หลุยส์ ปาสเตอร์ รักษาดู เขาทดลองวัคซีนกับเด็กคนนั้นปรากฏว่าเด็กน้อยผู้นั้นไม่เป็นอะไรไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ทำให้การค้นพบครั้งนั้นของเขาเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในปี ค.ศ. 1888 ปาสเตอร์ได้ก่อตั้งสถาบันปาสเตอร์ (Pasteur Institute) ขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จากนั้นสถาบันปาสเตอร์ก็ได้ก่อตั้งขึ้นอีกหลายแห่ง ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยในประเทศไทยใช้ชื่อว่า สถานเสาวภา
นับเป็นอีกครั้งนึงที่มีการพัฒนาของวงการแพทย์ที่ พัฒนามาตลอดตั้งแต่ ฮิปโปเครตีส บิดาแห่งวิชาการแพทย์ปัจจุบัน เริ่มต้นการรักษาที่มีแบบแผนขึ้น การค้นพบของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ก็เป็นอีกครั้งนึงที่สนับสนุนและนำไปสู่การพัฒนาการรักษาโรคต่อไป
ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1860 หลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศส เดินทางไปไต่ภูเขาแอลป์ บริเวณใกล้ชาโมนีซ์ เขานำขวดปิดผนึกไปด้วยกว่า 30 ใบ ในขวดมีน้ำส่าสกัด กับน้ำตาล ก่อนหน้านี้ ปาสเตอร์ เคยทดลองให้เห็นมาแล้วว่า ถ้าเปิดขวดทิ้งไว้กลางอากาศ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง สิ่งที่บรรจุไว้ในขวด จะมีเชื้อโรคนเปื้อน ครั้งนี้ ปาสเตอร์ขึ้นไปบนภูเขาสูง 1,500 เมตร ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ปราศจากเชื้อโรค แล้วเปิดขวดให้อากาศเข้าไป จากนั้นจึงปิดผนึกอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงห้องทดลอง เขาก็แสดงให้เห็นว่า น้ำส่านั้นไม่บูดหรือเสีย
การค้นพบครั้งนี้ได้นำไปใช้กำจัดเชื้อโรค ในน้ำนม เหล้าองุ่น และเบียร์ ทำให้เครื่องดื่มเหล่านี้ ปลอดภัยและน่าดื่ม จากผลของการศึกษานานแรมปีนี้เอง ปาสเตอร์ยืนยันว่า “โรค” ที่เกิดในของเหลวชนิดต่างๆ มาจากเชื้อแบคทีเรีย ในบรรยากาศชั้นล่างๆ ซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิต เขายังเขียนไว้ในเวลาต่อมาว่า “ในโลกของการทดลอง โชคจะเข้าข้าง แต่จิตใจที่เตรียมพร้อมแล้วเท่านั้น” ตัวของเขาก็ได้เตรียมใจไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ วิชาเคมีในปลายทศวรรษ 1840 ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ เมืองสตราสบูร์ก ซึ่งอยู่ทางตะวันออก ของฝรั่งเศส เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่งในปี ค.ศ.1851 ว่า “ผมจวนไขความลับได้แล้ว หมอกที่บดบังจางลงทุกทีแล้ว” อีก 6 ปีต่อมา เขาก็วิเคราะห์ถึงกระบวนการหมักเชื้อ ในแอลกอฮอล์ และสรุปว่าสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว ซึ่งต่อมาเขาเรียกว่า “จุลินทรีย์” นั้น เป็นสาเหตุให้ของเหลวบางอย่าง เช่น น้ำส้มสายชู และเหล้าองุ่น เน่าบูด
พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้ ปาสเตอร์แก้ปัญหาเรื่องเชื้อโรค ที่ทำให้เหล้าองุ่นเสื่อมคุณภาพ เหล้าองุ่นเป็นผลิตผลสำคัญอย่างหนึ่ง ของฝรั่งเศส ปาสเตอร์ได้ไปเยือนไร่องุ่นนับสิบๆ แห่ง เขาซักถามคนงาน ทดลองชิม แนะนำตัวอย่างเหล้าองุ่นต่างๆ กลับมาตรวจดู ทั้งขั้นที่ยังบ่มไม่ได้ที่ บ่มได้ที่แล้ว และขั้นที่เสื่อมคุณภาพแล้ว
ผลการทดสอบแสดงว่า เราอาจทำลายเชื้อโรคที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส โดยไม่มีผลต่อรสชาติของเหล้า กรรมวิธีนี้ต่อมาเรียกว่า ” การฆ่าเชื้อแบบปาสเตอร์ ” หรือ ” การพาสเจอไรซ์ ” (pasteurisation) ซึ่งปาสเตอร์นำไปใช้ทำให้นมปลอดเชื้อด้วย อันที่จริงเคยมีผู้เห็นแบคทีเรีย ด้วยกล้องจุลทรรศน์เป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 200 ปีหน้านั้น แต่ในครั้งนั้นเข้าใจผิดไปว่าจุลินทรีย์ ผลที่เกิดจากการเน่าเสีย มิใช่สาเหตุ ปาสเตอร์เป็นบุคคลแรก ที่แก้ไขให้เข้าใจกันอย่างถูกต้อง ไม่นานนัก ปาสเตอร์ก็เสาะหาวิธีรักษาโรคห่า ชนิดทั้งในคน และสัตว์ และเสนอแนวคิด ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างใหญ่หลวงว่า เชื้อโรคได้ ” ปรากฎตัวขึ้นอย่างลึกลับจากที่ไหนก็ไม่รู้ ” แหล่งที่มาแน่ชัดที่สืบสาวไปได้ถึง คือจากความสกปรก และฝุ่นละออง
หลุยส์ ปาสเตอร์ เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ.1822 เป็นบุตรเจ้าของโรงฟอกหนัง ในเมืองซึ่งอยู่ใกล้กับดิจอง เขาไปยอมเจริญรอยตามบิดา ปาสเตอร์ไต่เต้าจากฐานะครูสอนวิชาเคมี จนได้เป็นผู้อำนวยการสาขาวิทยาศาสตร์ ในวิทยาลัยครูที่มีชื่อเสียงของปารีส คือ Ecole Normale Superieu 4 ปีต่อมา คือเมื่อปี ค.ศ.1864 ปาสเตอร์ได้กล่าวปาฐกถา เรื่องงานของเขาที่ซอร์บอนน์ ซึ่งเป็นที่ของคณะวิทยาศาสตร์ และอักษรศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยปารีส เขาชี้ให้ที่ประชุมดูของเหลว ที่เป็นสารอินทรีย์บางอย่างในภาชนะปิดผนึก และกล่าว ” (สารนี้) บริสุทธิ์มาตั้งแต่ข้าพเจ้าเริ่มการทดลอง เมื่อหลายปีมาแล้ว บริสุทธิ์เพราะข้าพเจ้าเก็บไว้ให้ จากเชื้อโรคที่ลอยอยู่ในอากาศ “ ตลอดระยะเวลา 17 ปีต่อมา ปาสเตอร์ใช้เวลาส่วนใหญ่ หายาป้องกัน (วัคซีน) โรคอหิวาต์สำหรับไก่ และโรคแอนแทร็ก อันเป็นโรคฝีร้ายซึ่งมักเกิดกับแกะ และวัว ควาย ทำให้ถึงตายได้ และติดต่อถึงคนได้ เขาสังเกตว่าเมื่อปศุสัตว์เป็นโรคนี้ และหายจากโรคได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็มักไม่เป็นโรคนี้อีกต่อไป เขาจึงฉีดเชื้อโรคที่อ่อนแรง เข้าไปในตัวสัตว์เหล่านี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคตลอดชีพ เขากล่าวว่า ” ขั้นตอนก็ง่าย วิธีของข้าพเจ้า คือ ทำให้จุลินทรีย์ต่อสู้ และทำลายกันเองจนหมดสิ้นในที่สุด ”
ต่อมาเขาหันมาสนใจหาทางรักษา และป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1880 เพื่อผู้หนึ่งซึ่งเป็นสัตวแพทย์ ให้สุนัขที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าแก่เขา 2 ตัว เพื่อใช้ทดลอง ผู้ที่ถูกสุนัขบ้ากัดจะไม่แสดงอาการในช่วง 3 – 12 สัปดาห์ จากนั้นจึงเริ่มชักกระตุก เพ้อคลั่ง กลัวการกลืนน้ำอย่างยิ่ง และตายภายใน 2 – 3 วัน
วิธีรักษา คือ ใช้กรดคาร์บอลิก หรือเหล็กเขี่ยไฟที่ร้อนแดง จี้แผลที่ถูกกัด แต่ ” การรักษาแบบนี้มักเป็นเหตุให้คนไข้ตาย ปาสเตอร์ต้องการหาวิธีที่ไม่โหดร้ายทารุณ เขาไปเก็บตัวอยู่ในป่าเมอดง ใกล้ปารีส เขาขังสุนัขที่เป็นโรคกลัวน้ำไว้ที่นี่ 50 ตัว และพบเชื้ออยู่ในน้ำลาย และระบบประสาทของสุนัข ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.1884 หลังจากทดลองกับสุนัข และกระต่ายนับสิบๆ ครั้ง เขาก็เพาะวัคซีนไวรัสพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นเชื้อที่อ่อนแรงแล้วได้สำเร็จ นอกจากจะช่วยต่อสู้โรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ผลงานด้านวัคซีนของปาสเตอร์ ยังช่วยเบิกทางสู่วิชาแพทย์แขนง ” วิทยาภูมิคุ้มกัน ” (immunology) ทุกวันนี้มีโรคที่ให้พิการ หรือถึงแก่ชีวิตประมาณ 30 ชนิด รวมทั้งโรคหัด โรคโปลิโอ และโรคคอตีบ ซึ่งป้องกันได้ ด้วยการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน ในปี ค.ศ.1888 ได้มีการเปิดสถาบันปาสเตอร์ ในกรุงปารีส งานส่วนหนึ่ง คือเพื่อค้นคว้าวิจัย เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าต่อไป ต่อมาแม้อาการเส้นโลหิตแตก จะทำให้ปาสเตอร์มีสภาพกึ่งอัมพาต แต่กระนั้นเขาก็ยังดำรงตำแหน่งผู้นำของสถาบันแห่งนี้ จวบจนกระทั่งถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1894 ศพของเขาฝังไว้ในสุสานหินอ่อน อันสง่างามในสถาบันแห่งนั้น คำจารึกที่สุสานของตนเอง ซึ่งเขาได้ประพันธ์เตรียมเอาไว้ มีความว่า “กฎที่มีตัวเราเป็นเครื่องมือ คือกฎแห่งสันติภาพ การงาน และสุขภาพนั้น ย่อมเสาะหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อช่วยให้มนุษย์ พ้นจากความหายนะที่ตามล้างผลาญ ”